บทที่ 1 ช่วงเวลานี้ฉันอยู่ที่ไหนกัน

ในระหว่างที่ซูเหยากำลังหมดสติอยู่นั้นเหมือนเธอจะได้ยินเสียงเล็ก ๆ บางอย่างดังอยู่ที่ข้างหูของตน

“ระบบได้เจอผู้ที่เหมาะสมแล้ว ท่านต้องการที่จะเชื่อมต่อกับระบบหรือไม่” เสียงเล็ก ๆ นั้นได้ถามกับซูเหยาออกมาอย่างเฉยชา

“ระบบอย่างนั้นเหรอ นี่ฉันกำลังฝันถึงเรื่องอะไรอยู่ สงสัยตัวเราน่าจะอ่านนิยายมากไปอย่างแน่นอน” ซูเหยาโต้ตอบกับเสียงที่ได้ยินที่เธอคิดว่าเป็นความฝัน

“ระบบขอถามอีกครั้ง ท่านยินดีจะเชื่อมต่อกับระบบหรือไม่ หากท่านไม่เชื่อมต่อ ระบบขอเตือนว่าวิญญาณของท่านจะต้องสูญสลายไป

เพราะตอนนี้ท่านเป็นร่างที่เกือบจะตายอย่างสมบูรณ์แล้ว” เสียงเล็ก ๆ ของระบบได้ดังขึ้นอีกครั้งอย่างเย็นชาเหมือนเดิม

“อะไรนะฉันเกือบจะตายแล้วอย่างนั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไง ฉันยังอ่านนิยายเรื่องที่ซื้อมาล่าสุดยังไม่จบเลยนะ ฮือ ๆ” เสียงซูเหยาร้องไห้ด้วยความคร่ำครวญ

“100..99..98..97..” ในระหว่างที่ซูเหยาร้องไห้อยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงเล็กๆ นับเวลาถอยหลังลงเรื่อย ๆ อย่างใจเย็น  จนตอนนี้เธอได้ยินเสียงนับเวลาเหลือแค่สิบแล้ว เธอจึงเริ่มที่จะลนลาน

“ตกลง ๆ ฉันยินยอมรับการเชื่อมต่อกับระบบ” ซูเหยารีบร้องตะโกนออกมาอย่างเสียงดัง เพราะเธอคิดว่าตอบตกลงไปก่อนแล้วกันดีกว่าที่วิญญาณจะสูญสลาย

“ถือว่าคุณตัดสินใจได้ฉลาดมาก เอาล่ะต่อไปนี้เรามีภารกิจให้คุณทำ คุณจะต้องเข้าไปแก้ไขเรื่องราวในนิยายที่คุณได้อ่านค้างไว้ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง

ที่ทางเราตัดสินใจในการเลือกคุณเป็นนักท่องเวลาในครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากเหล่าตัวละครในนิยายที่มักจะถูกกระทำด้วยความโหดร้าย พวกเขาต้องการ การเปลี่ยนแปลงที่ดีดังนั้นจำเป็นต้องมีสื่อกลางยกตัวอย่างเช่นคุณ เหตุผลที่ทางเราเลือกคุณเพราะทางเราเห็นว่าคุณชอบอ่านนิยายเป็นชีวิต และเวลาบนโลกปัจจุบันของคุณเหลือน้อย

แต่คุณไม่ต้องกลัว เพราะทางระบบได้ทำการนำห้างสรรพสินค้า ที่เป็นสมบัติของคุณทำการเชื่อมต่อกับทางจิตวิญญาณให้กับคุณแล้ว หรือที่เรียกกันว่ามิตินั่นแหละ

แต่มีข้อแม้ว่าของชิ้นนั้นจะลดจำนวนลงตามที่ห้างของคุณได้สต็อกสินค้าเอาไว้ ส่วนภารกิจคือแก้ไขเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนในครอบครัวที่คุณเข้าไปอยู่

เมื่อคุณไปถึงคุณก็จะรู้เอง เราขอให้คุณโชคดีกับภารกิจครั้งนี้” เมื่อสิ้นเสียงจากระบบแล้ว ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบและความมืด

“สวัสดีระบบ คุณได้ยินเสียงฉันไหม อย่าเพิ่งไปสิ เฮ้ ระบบ..” ซูเหยาร้องเรียกระบบอย่างเสียงดัง พร้อมกับคิดว่าอะไรจะมาเร็วไปเร็วแบบนี้กัน แล้วเธอจะไปอยู่ยุคไหนและนิยายเรื่องอะไรกันล่ะ

“โอ้ย! ปวดหัวหัวจะระเบิดอยู่แล้ว” เสียงซูเหยาร้องออกมาอย่างเสียงดัง ซึ่งเธอไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้ร่างกายของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว และก็ไม่ได้อยู่ยุคสมัยเดิมอีกต่อไป

“พี่ชาย น้าเหยาจะเป็นอะไรไหม” เด็กหญิงตัวเล็กหน้าตามอมแมม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าบาง ๆ ขาดวิ่น ถามกับพี่ชายที่โตกว่าเล็กน้อยออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นแสดงความหวาดกลัว

“คนใจร้ายแบบนี้คงจะไม่ตายง่ายๆ หรอก ถ้าหากเธอตื่นขึ้นมาพวกเราก็จะโดนทุบตีโดยไม่มีเหตุผลอีกอย่างแน่นอน”พี่ชายที่โตกว่าเล็กน้อยตอบน้องสาวด้วยน้ำเสียงแสดงความเย้ยหยัน

“อ่า เสียงใครพูดกัน ขอน้ำกินหน่อยได้ไหม” เสียงซูเหยาถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

ซึ่งตอนนี้เด็กน้อยทั้งสองคนได้วิ่งหนีเธอออกมาอยู่ในห้องโถงของตัวบ้าน ด้วยความหวาดกลัวไปเสียแล้ว พร้อมกับที่สองเด็กน้อยก็พากันกอดกันตัวกลมด้วยอาการสั่นกลัว

เมื่อซูเหยารออยู่นานก็ไม่เห็นว่าจะมีใครส่งน้ำมาให้เธอเสียที เธอจึงนอนลืมตานิ่งอยู่อย่างนั้น พร้อมกับคิดถึงเรื่องในสิ่งที่ได้ยินมาจากระบบ

“น้ำเปล่าหนึ่งขวดเล็ก” ซูเหยาจึงลองเรียกน้ำเปล่าออกมาจากห้างที่ระบบได้พูดถึง ซึ่งตอนนี้เธอก็รู้สึกว่ามีของบางสิ่งอยู่ในมือเธอ เธอจึงได้ยกมือที่จับสิ่งของนั้นขึ้นมาดู ก็เห็นว่าเป็นขวดน้ำดื่มที่มีขายอยู่ในห้างของตนเอง

“กรี๊ด” ตอนนี้ซูเหยาได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจเพราะเรื่องระบบไม่ได้เป็นเพียงความฝัน

“แต่ว่าตอนนี้เธอมาอยู่ที่ไหนกัน” ซูเหยาถามกับตัวเองพร้อมกับลุกขึ้นนั่งอยู่บนที่นอน และเธอก็ใช้สายตากวาดมองรอบๆ ห้องด้วยความสงสัย

เธอมองสภาพห้องที่ผนังเป็นกำแพงดิน บนหลังคาก็เหมือนกับถูกมุงด้วยสภาพหญ้าแห้ง ที่เธอเคยเห็นบ้านตามชนบทสมัยก่อน

ตอนนี้เธอถึงกับยู่หน้าขยี้จมูกของตัวเอง เพราะเธอได้กลิ่นของความอับชื้นที่โชยเข้าจมูก มันเป็นกลิ่นที่เธอรู้สึกไม่ชอบเป็นอย่างมาก

เธอนั่งนิ่งๆ อยู่สักพัก พร้อมกับคิดทบทวนในตอนที่เธอหลับอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะได้รับความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมมาด้วย เจ้าของร่างเดิมก็มีชื่อเดียวกับเธอ แต่เธอยังไม่เห็นหน้าค่าตาว่าเจ้าของร่างเดิมหน้าตาเป็นแบบไหน

ตอนนี้เด็กน้อยสองคนด้านนอกได้พากันหวาดผวาให้กับเสียงกรีดร้องของเธอมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

“พะพี่ชายเราจะทำยังไงดี เหมือนว่าน้าเหยาจะ..จะฟื้นแล้ว”เด็กหญิงซึ่งได้กอดพี่ชายแน่นถามพี่ออกมาด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ เหมือนใกล้จะร้องไห้เต็มที

“มะ..ไม่ต้องกลัว พี่จะปกป้องน้องเอง” เสียงพี่ชายเองก็สั่นกลัวไม่ต่างจากน้องสาว แต่ด้วยความเป็นพี่เขาจะต้องปกป้องน้องให้ได้

“นั่นใคร เสียงใครพูดอยู่ด้านนอกเข้ามาเดี๋ยวนี้นะ” ซูเหยาถามขึ้นด้วยเสียงอันแหบแห้ง แต่ว่าติดความดุเล็กน้อย

ซึ่งเธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่าได้ทำให้สองพี่น้องหวาดกลัวเธอขึ้นมาอีกครั้งแล้ว

“พะ..พวกเราเองน้าเหยา” เด็กชายได้จูงมือน้องสาวตัวเล็กเดินเข้ามาภายในห้องที่แม่เลี้ยงของพวกเขานอนอยู่

ตอนนี้ซูเหยาเมื่อได้เห็นสภาพเด็กทั้งสองเธอก็ถึงกับตกตะลึง เพราะสภาพเนื้อตัวของเด็กน้อยภายนอกที่เห็นมีแต่ร่องรอยของการถูกเฆี่ยนตี

และเสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่ง หน้าตามอมแมม รูปร่างผอมแห้งมีแต่หนังติดกระดูกเพียงเท่านั้น

‘นางเหยา เธอมันคนใจร้ายเธอทำกับเด็กตัวเล็ก ๆ ได้ยังไงกัน’ ซูเหยาถึงกับสบถด่าเจ้าของร่างเดิมด้วยความคับแค้นใจ

“ไม่ต้องกลัวนะ น้าขอโทษนะที่น้าเคยทำไม่ดีกับพวกเธอสองคนเอาไว้ ต่อไปนี้น้าสัญญาว่าจะดูแลพวกเธออย่างดี” ซูเหยากล่าวขอโทษเด็กทั้งสองออกมาด้วยความเสียใจ ถึงแม้ว่าการทำร้ายเด็กน้อยจะไม่ใช่ฝีมือของตนก็ตาม

ตอนนี้เด็กน้อยทั้งสองได้เบิกตากว้างด้วยความตกใจกับคำพูดของแม่เลี้ยงไปแล้ว

“แล้วนี่เธอสองคนกินข้าวกันแล้วหรือยัง” ซูเหยาถามเด็กสองคนด้วยความเป็นห่วง ซึ่งตอนนี้เด็กทั้งสองรู้สึกหวาดกลัวเธอมากกว่าเดิมเสียอีก

เพราะพวกเขาไม่เคยคิดว่าคนที่ทำร้ายพวกเขามาตลอดจะมาขอโทษและพูดกับพวกเขาดี ๆ ได้

“พี่ว่าเธอจะต้องทำดีกับเราแล้ววางแผนหลอกเราไปขาย แน่ ๆ” มู่เฟยพี่ชายคนโตกระซิบใส่หูน้องสาว

ซึ่งซูเหยาเองก็ได้ยินประโยคนี้เช่นกัน แต่เอาเถอะทุกอย่างให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินเองก็แล้วกัน เพราะจะให้เด็กที่ถูกทำร้ายเป็นเวลานานมาเชื่อเธอทีเดียวก็คงจะเป็นไปไม่ได้เธอคิดอย่างปลง ๆ

พร้อมกับพยายามทำใจยอมรับกับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ และจากความทรงจำของร่างเดิมดูเหมือนว่าเธอจะเข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องสุดท้ายที่เธออ่านค้างอยู่

ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่เลี้ยงใจร้าย ที่ตัวเอกหญิงก็คือซูเหยา ที่ได้ตกลงแต่งงานกับมู่หาน ซึ่งเป็นคนขยันที่ภรรยาได้ตายจากการคลอดลูกสาวคนเล็ก

ที่ซูเหยาตัดสินใจแต่งงานกับพ่อม่ายลูกสองอย่างมู่หาน ก็เพราะเขาเป็นคนขยันและเธอก็ไม่ต้องการทำงานในทุ่งนาเพราะบ้านของเธอเลี้ยงเธอมาแบบตามใจ ซึ่งผิดแปลกจากคนในยุคนี้ที่รักลูกผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

ทำให้ซูเหยามีนิสัยเกียจคร้านเห็นแก่ตัว ซึ่งก็ได้ทำให้ทะเลาะกับพี่สะใภ้ทั้งสองอยู่เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อมีแม่สื่อได้ติดต่อมา เธอจึงตอบตกลงทันที ท่ามกลางความเป็นห่วงของพ่อแม่และพี่ชาย

“นะ..น้าเหยาต้องการใช้อะไรพวกเราหรือครับ” เด็กชายซึ่งอายุไม่น่าจะเกินหกขวบถามออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“ไม่จ้ะ น้าว่าพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ น้าจะเข้าไปดูในครัวก่อนว่ามีอะไรที่พอจะทำได้หรือเปล่า” ซูเหยาพูดกับเด็ก ๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งผิดจากน้ำเสียงเจ้าของร่างเดิมอย่างลิบลับ

“น้าเหยาคะ อาหารส่วนใหญ่ถูกน้าเก็บล็อคไว้ในตู้นั่นนะคะ” เด็กหญิงตัวเล็กพูดออกมาด้วยความงุนงง พร้อมกับเอานิ้วชี้ของตนชี้ไปยังตู้ใบเล็กข้างเตียงของหญิงสาว

“โอ้น้าลืมจ้ะ ขอบใจผิงผิงนะ” ซูเหยาพูดกับเด็กน้อยพร้อมรอยยิ้มกว้าง ซึ่งได้ทำให้ใบหน้าของเธอดูงดงามและสว่างไสวจนทำให้เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกตาพร่า

“ผิงผิง น้องไม่กลัวโดนตีเหมือนที่ผ่านมาอีกอย่างนั้นเหรอ” มู่เฟยอดพูดเอ็ดน้องสาวออกมาไม่ได้

“เสี่ยวเฟยอย่าดุน้อง เราเป็นพี่ต้องค่อย ๆ พูดกับน้อง น้าบอกว่าน้าเปลี่ยนไปแล้ว หากพวกหนูไม่ดื้อน้าก็จะไม่ทำโทษพวกหนูอย่างเด็ดขาด” ซูเหยาหันไปพูดกับเด็กชาย

ตอนนี้เมื่อเธอได้เปิดตู้ส่วนตัวของตนออกก็ได้เห็นว่ามีไข่ไก่อยู่หนึ่งตะกร้า มีขนมและนมผง ซึ่งยุคนี้ของเหล่านี้เป็นสิ่งของที่แพงมาก

“เสี่ยวเฟยไปหยิบตะกร้าข้างนอกมา น้าจะเอาของพวกนี้ไปไว้ในครัวทั้งหมด” ซูเหยาผินหน้าไปบอกกับเด็กชาย มู่เฟยถึงกับสะดุ้งเมื่อเขาถูกเรียกชื่อ

เมื่อซูเหยาเห็นอาการของเด็กชายแบบนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะต่อว่าเจ้าของร่างเดิมอีกครั้ง

บทถัดไป